...เราทั้งหลายมักหลงธรรมชาติ อย่างสกลร่างกายนี้ กายของ เรานี้ประกอบขึ้นด้วยดิน น้ำ ไฟ ลม มันก็เป็นธรรมชาติ ที่เรียกว่า วัตถุที่มองเห็นด้วยตา มันอยู่ด้วยอาหารเจริญมา เจริญมา เจริญขึ้น มา แล้วก็แปรไป ถึงที่สุดมันก็ดับไปเช่นกัน...
...ตามความเป็นจริงแล้ว โลกที่เราอยู่นี้ไม่มีอะไรทำไมใครเลยไม่มีอะไรจะเป็นที่วิตกวิจารย์เลยไม่มีอะไรที่น่าจะร้องไห้หรือหัวเราะเพราะมันเป็นเรื่องอย่างนั้นธรรมดาๆแต่เราพูดธรรมดาได้ แต่มองไม่เห็นธรรมดาแต่ถ้าเรารู้ธรรมะสม่ำเสมอไม่มีอะไรเป็นอะไรแล้ว มันเกิดมันดับของมันอยู่อย่างนั้นเราก็สงบ
...พระพุทธศาสนาไม่มีอำนาจอะไรเลยแม้ก้อนทองคำก็ไม่มีราคา ถ้าเราไม่มารวมกันว่ามันเป็นโลหะที่ดีมีราคาทองคำมันก็ถูกทิ้งเหมือนก้อนตะกั่วเท่านั้นแหละพระพุทธศาสนาตั้งไว้มีอยู่แต่ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติ จะไปมีอำนาจอะไรเล่าอย่างธรรมะเรื่องขันติมีอยู่แต่เราไม่อดทนกันมันจะมีอำนาจอะไรไหม?...
...คนที่ไม่รู้จักสุข ไม่รู้จักทุกข์นั้นก็จะเห็นว่า สุขกับทุกข์นั้นมันคนละระดับมันคนละราคากันถ้าผู้รู้ทั้งหลายแล้วท่าน จะเห็นว่าสุขเวทนา กับทุกขเวทนามันมีราคาเท่าๆ กัน...
...เมื่อเราเกิดมาแล้วโยม ก็คือเราตายแล้วนั่นเองความแก่กับความตายมันก็คืออันเดียวกันนั่นแหละเหมือนกับต้นไม้ อันหนึ่งต้น อันหนึ่งปลายเมื่อมีโคนมันก็มีปลายเมื่อมีปลายมันก็มีโคนไม่มีโคนปลายก็ไม่มีมีปลายก็ต้องมีโคนมีแต่ปลายโคนไม่มีก็ไม่ได้มันเป็นอย่างนั้น
...อารมณ์นี้ก็เหมือนกับงูเห่าที่มีพิษร้ายนั้นอารมณ์ที่พอใจก็มีพิษมากอารมณ์ที่ไม่พอใจก็มีพิษมากมันทำให้จิตใจของเราไม่เป็นเสรีทำให้จิตใจไขว้เขวจากหลักธรรมของพระพุทธเจ้า
...ธรรมของจริงของแท้ที่ทำให้บุคคลเป็นอริยะได้มิใช่เพียงศึกษาตามตำราและนึกคิดคาดคะเนเอาเท่านั้นแต่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามนั้นจริงๆของจริงจึงจะเป็นของจริงขึ้นมาได้...
|